9/17/2554

พิซซา อร่อย และ ทำง่าย

 อันที่จริงในเมืองไทย ถ้าอยากทานพิซซ่า ก็ไปที่ร้านตามศูนย์การค้า แล้วก็สั่งเลย ง่ายดี แต่รู้ไหมว่า พิซซา นั้นทำไม่อยากเลย และก็ถูกกว่าไปซื้อเขาอีกมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์อะ และถ้าทำเองได้ มันเป็นอันภูมิใจมิใช่หรือว่าเราทำพิซซ่าทานเองไม่ต้องไปจ่ายส่ตางค์ มือละ ตั้ง 400-500 บาท มาเริ่มกันดีกว่า

ส่วนผสม สำหรับแป้ง Dough  สูตรนี้สามารทำ พิซซ่าขนาด 10 นิ้วได้ 3 ชิ้น 

1.  แป้งขนมปัง  400 กรัม
2.  น้ำตาล  2 ชต.
3.  เกลือ  1 ชช.
4.  น้ำมันมะกอก หรือ น้ำมันพืช   1 ชต.
5.  น้ำอุ่นที่อุณหภูมิของห้อง  250 มิล
6.  ยีสต์ (แบบละลายเร็ว ซึ่งจะเป็นเม็ดละเอี่ยดมาก)  1 ชช.
7.  แผ่นกระเบื้องปูพื้น ขนาด 12 นิ้ว ล้างให้สะดาด 1 แผ่น ( อันนี้จำลองเป็น Clay Oven อะ เพราะเราไม่มี อะ แล้วถ้าจะทำ มันก็ แพงมาก ๆ อะ)


ส่วนผสม สำหรับซ๊อสพิซซ่า สูตรนี้สามารถทำ พิซซ่าได้ ประมาณ 3-4 ชิ้น ขนาด 10 นิ้ว


1.  หัวหอมหั่นละเอียด  1 ลูก
2.  กระเทียมหั่นละเอียด 1-2 กลีบ
3.  มะเขือเทศกระป๊องขนาด 400 มิล
4.  เกลือ และ พริกไทย สำหรับปรุงรส 
5.  น้ำ Stock 100 มิล ถ้าไม่มีใช้น้ำ เปล่าก็ได้อะ
6.  น้ำมันพืช 1-2 ชต.
7.  ออริกาโน 1-2 ชช.

 ส่วนผสม สำหรับ Topping สำหรับ พิซซ่า 3 ชิ้น ขนาด 10 นิ้ว

 1.  มอสซาเรลล่า ชีส mozzarella cheese  300 กรัม
2.  เชดด้า ชีส Cheddar cheese  75 กรัม
3.  มะเขือเทศ 1 ลูก
4.  ลูกโอลีฟดำ 3-4 ลูก
5.  อื่น ๆ ตามต้องการ
6.  น้ำมันมะกอกสำหรับโรยหน้า

 วิธีทำ ซ๊อสพิซซ่า 
1.  นำกระเทียมและหัวหอมลงผัดกับน้ำมันพืชจนนิ่ม
2.  ใส่ส่วนผสม มะเขือเทศสับและ น้ำ Stock ลงไปคนให้เข้ากัน แล้วตามด้วย ออริกาโน
3.  หรี่ไฟลงให้อ่อนที่สุด แล้วเคี่ยวต่อ ประมาณ 5 นาที หรือจนกระทั่งตัว ซ๊อสมีความข้นขึ้น ปรุงรสด้วยเกลือ และพริกไทย เป็นอันเสร็จ 
 วิธีทำ Dough

 ใช้หลักการทำเหมือนทำขนมปังปอนด์ ตามลิงค์นี้ค่ะ  มาทำ ขนมปัง home-made กันดีกว่า ให้ปฏิบัติตามจนถึงข้อ 9 อะ แล้วต่อด้วย
  1. อุ่นเตาอบที่ 230 องศาเซลเซียส แล้ว ให้วางกระเบื้อง หงายด้านหยาบขึ้นด้านบนลงในเตาอบด้วย
  2. การเช็ป ตัวพิซซ่า ให้ม๊วน Dough เป็นรูป ไส้กรอก แล้วใช้สายตากะเอา แล้วตัดแบ่งเป็น 3 ชิ้น ซึ่ิงจะได้ พิซซ่า 3 ชิ้น
  3. นำ Dough ที่่ตัดแล้ว มา แผ่ลงบน ถาดอบที่รองด้วย  Baking Liner ถ้าไม่มีใช้กระดาษไขก็ได้  (อันนี้สำคัญมาก ต้องมี Baking Liner หรือ กระดาษไขเพราะจะใช้สำหรับเลื่อนตัวพิซซ่าไปยังเตาอบ) ใช้มือแตะบนตัว Dough  เพื่อให้มัน แบนราบลง พยายามให้คงรูปเป็นวงกลมเหมือน พิซซ่า แต่เบี้ยวนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะนี้คือ  Home made Pizza ความหนาของแป้งพิซซ่า ก่อนอบ ควรจะประมาณ 1/4 นิ้ว หรือ น้อยกว่า
  4. เมื่อได้ ความหนาตามต้องการแล้ว เกลี่ยด้วยน้ำซ๊อสพิซซ่าให้ถั่วแต่เว้นขอบประมาณ 1/2 นิ้ว หรือน้อยกว่า
  5. โรยด้วยชีส Mozzarella cheese และ Cheddar cheese ตามต้องการ ตามด้วยมะเขือเทศฝานบาง ๆ และ ผล โอลีฟ ฝานเช่นกัน ถ้าจะโรยด้วยใบโหระพา Basil ก็อร่อยมากขึ้น
  6. เยาะน้ำมันมะกอกเล็กน้อย
  7. การนำเข้าอบ ให้เปิดเตาอบ ยกกระเบื้องออกจากเตา (ระวังกระเบื้องร้อนมาก ต้องใช้ผ้าที่หนาพอสมควร) ยกตัวพิซซ่าโดยการดึงปลาย Baking Liner หรือ กระดาษไขไปที่กระเบื้อง แล้วนำเข้าเตาอบพร้อม Baking Liner หรือ กระดาษไขทันที
  8. อบ 15 นาทีแรกห้ามเปิดเตาอบเด็ดขาด หลังจากนั้นให้ลดไฟลงเหลือ 200 องศา ซีแล้วอบต่ออีก 5 นาที หรือ จน ชีสด้านบน ละลาย และกลายเป็นสีเหลืองทอง 5 นาทีสุดท้ายนี้ อาจจะเพิ่ม Topping เช่น แฮม, ซาลามี่ (ไส้กรอก เยอรมัน หรือ อีตาลี) ก็ได้ หรือ ซีฟูด
  9. เมื่อ พิซซ่า สุกแล้ว จะสังเกตุได้ว่า แป้ง ขอบนอก ฟูเหมือนขนมปัง  แล้วควรจะพัก ไว้ สัก 5 นาทีจึงจะรับประทาน
  10. การตัดพิซซ่า หากไม่มีที่ตัดพิซซ่า ให้ใช้กรรไกร อย่าใช้มีด เพราะ มันตัดยากมากอะ
  11. ขอให้อร่อยกับการทำพิซซ่านะคะ อิอิ
ข้อควรระวังในการอบพิซซ่า

 1.  อย่าใส่ Topping มากเกินไปก่อนอบ เพราะ จะทำให้ แป้งตรงกลางไม่ฟูและไม่สุก
2.  เตาอบ และ แผ่นกระเบื้อง ต้องร้อนเต็มที่ เช่นกัน ถ้าไม่ร้อน แป้งตรงกลางจะไม่สุก
3.  ห้ามเปิดเตาอบ ใน15 นาทีแรก
4.  ถ้าใช้เตาอบแบบ มีบาบนและล่าง ควรเปิด ใช้ทั้งบนและล่างพร้อมกัน

9/01/2554

หมูอบ เนื้อนุ่ม ( Roast Pork Joint)



หมูอบ เนื้อนุ่ม ( Roast Pork Joint)

สวัสดี อีกครั้ง หายไปหลายเดือนค่ะ เพราะ เดินทาง ไปฝรั่งเศษ กับ สามี ขับรถ มอร์เตอร์โฮม (เหมือนรถขายไอติมเลย) ไปพัก แค๊มปิ้ง ไป 6 อาทิตย์ ค่ะ ตอนนี้ กลับ มาอยู่บ้านแล้ว สัญญา ไว้ ว่า จะทำหมูอบ เพื่อไว้ สำหรับ ทำเป็น แซนด์วิช ไงล่ะ มาเริ่มกันเลย


ส่วนผสม

1. หมูสะโพกหรือ หมูหัวไหล่ 2 กก.(อันนี่้แปลมาจากศัพท์ทางอังกฤษ ไม่รู้บ้านเราจะเรียกว่าอะไร ลองไปถาม เขียงหมูดู นะคะ)
2. เปลือก Cinnamon 1 ก้าน
3. ดอกโป๊ยกัก 2 ดอก
4. เมล็กผักชี 1 ชช.
5. เกลือ 3 ชช.
6. พริกไทย 3 ชช.

วิธีทำ

1. ล้างหมูให้สะอาด แล้วม้วนให้เป็นก้อน โดยการม้วน เหมือน ม้วนกระดาษ แล้วใช้ เชือกขาวมัดให้ตึง นำด้านข้าง 2 ข้าง ตลบไว้ด้านล่าง ใช้เชือกขาวมัดขวางอีก ทีหนึ่ง ซึ่งที่ในอังกฤษเขาเรียกว่า Joint เราสามารถไปซื้อได้เลยใน Supermarket เขาจะมัดให้เสร็จเลยสะดวกมาก แต่บ้านเราเคยไปถามตามห้าง Joint หรือเขียงหมูเขาไม่เข้าใจเลย ทำไมต้องไปมัดให้มันเป็นก้อนด้วย อะเขาไม่เข้าใจ อันนี้เราก็ต้องมามัดเอาเอง อิอิ อะเวลาอบหมูต้องอบเป็น.. เพราะหมูจะได้ไม่แห้งอะคะ ถ้าเราอบหมูแบบในบ้านเราแผ่เป็นชิ้นราบเรียบ พอหมูสุก ด้านบนและด้านล่างแห้งพอดี ทำให้หมูแข็งและแห้งไม่อร่่อย
2. นำหมูใส่ลงในกล่อง ทีมีฝาปิด ใส่น้ำให้ท่วม ใส่ส่วนผสมอื่น ๆ ทั้งหมดลงไป นำเข้าตู้เย็น ทิ้งไว้ข้ามคืน (วิธีนี้คือคล้ายกับการทำ Home Made Ham นั่นเอง)
3. วันรุ่งขึ้น นำหมูออกจากกล่อง ใส่ในถาดอบ ที่ รองก้นด้วยตะแกรงเหล็กเพื่อยกชิ้นหมูไม่ให้จมน้ำหรือถ้าไม่มีก็ใช้แครอทและหัวหอม หั่นพอให้เป็นก้อนใหญ่ ๆ ก็ใช้ได้ เสร็จแล้วสามารถนำไปทำซุปแครอทกับหัวหอมได้อีกอะ
4. โรยเกลือ และพริกไทย เพิ่ม บนก้อนหมู แล้วคลึงให้ทั่ว
5. เติมน้ำ ลงในถาดอบ พอประมาณแต่ไม่ต้องให้ท่วมถึงชิ้นหมู เพื่อไม่ให้ถาดไหม้ อาจต้องคอยเติมน้ำอีก หลังจากเวลาผ่านไป 1 ชม.
6. นำเข้าเตาอบ ที่ อุณหภูมิ 180 องศา เซลเซียส, อบประมาณ 2 ชม. หรือน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับ ความแรงของเตาอบ
7. เช็คหมู เมื่อเวลาผ่านไป ประมาณ 1 ชม. และ 1.5 ชม. และทำการ Basting หรือ แปลตรง ๆ ว่า อาบน้ำให้หมูอบของเรา โดยการ ใช้ช้อนตัก น้ำ จากถาดอบราดลงบนหมูที่อบ เพื่อไม่ให้รอบนอกของหมูนั้นแห้ง
8. วิธีการเช็คว่าหมูสุก หรือไม่ ใช้เทอร์โมมิเตอร์สำหรับใช้ในการเช็ค หมูอบ ที่อุณหภูม ที่ 72 องศา เซลเซียส เพราะที่ระดับนี้ แบกทีเรียในเนื้อหมูจะตาย แต่ถ้าไม่มี ก็ใช้มีดปลายแหลมเสียบไป่ตรงกลางของหมู เมื่อถึงออกมา ถ้าน้ำที่ไหลออกมาเป็นสีขาวไส แสดงว่าหมูสุกแล้ว ถ้าน้ำที่ไหลออกมาเป็นสี ชมพูแสดงว่าหมูยังไปสุก ควรอบต่ออีกประมาณ 15-20 นาที

9. หลังจากหมูสุกแล้ว นำไปวางบนภาชนะ แล้วครอบด้วย กระดาษฟอยด์ ทิ้งให้เย็นประมาณ 20 นาที จึงจะรับประทาน ซึ่งใช้ทานกับผักต้มและมันบด เรียกว่า Roast Dinner
       

หรือทิ้งให้เย็น ก็ใช้ทำเป็น Sandwich ก็อร่อย ไม่ต้องไปซื้อ แฮม แผ่น อีกต่อไป เพราะแฮมแผ่น เขาใส่เจ้าสารที่ทำให้สีของหมูเป็นสีชมพู หรือที่เรียกว่า Prague #1 นั่นเอง




10. หมูอบสามารถ นำเข้าช่องแช่แข็งได้ และเก็บได้หลายเดือน จะได้ประหยัด การใช้พลังงาน อบครั้งเดียว ทานได้หลายครั้ง ก่อนนำเข้าช่องแช่แข็ง ความหั่น ให้เป็นก้อนเล็กลง ตามขนาดที่ต้องการจะทานแต่ละครั้ง แล้ว ใส่ในถุงพลาสติก ปิดปากถุงให้แน่น เมื่อต้องการจะทานก็สามารถหยิบออกจากช่องแช่แข็งเพียงเฉพาะปริมาณที่เราต้องการแล้วทิ้งให้ละลายน้ำแข็งในช่องธรรมดาข้ามคืน
11. การหั่นหมูอบ ควรฝานเป็นแผ่น บาง ๆ เหมือน แฮม หมูจะนิ่มน่ารับประทาน



5/01/2554

มาทำขนมปัง Home Made กันดีกว่า






หากคุณ ได้เคยทานขนมปังตามโรงแรมดัง ๆ ที่  Chef  ทำเองแล้ว คุณจะไม่อยากกลับไปทานขนมปังถูก ๆ ตามห้างซุปเปอร์มาเก็ตอีกเลย  แต่ที่สำคัญที่สุดคือคุณทำเองได้ไม่อยากเลย  ขอให้เข้าใจหลักการของการขึ้นฟูของ  Dough  เท่านั้น

หลักสำคัญของการขี้นฟูของ Dough  มี  6  ข้อเท่านั้นขอให้เข้าใจหลักการแล้วคุณจะสามารถทำขนมปัง  โฮมเมด  Home Made ทานเองได้  ไม่ต้องไปจ่ายเงินซื้อในห้างซุปเปอร์แบบแพง ๆ เช่น หากซื้อที่ Tops ประมาณครื่อง  Loaf  ราคาปาเข้าไป 65 บาท มาเริ่มกันดีกว่า

หลักที่สำคัญ

  1. ยีสต์คือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ซึ่งจะเจริญเติบโตในอุณหภูมิที่มันชอบประมาณ 27-32 องศา C.
  2. อย่าผสมยีสต์โดยตรงกับเกลือ เพราะเกลือจะฆ่ายีสต์
  3. อุณหภูมิของน้ำต้องไม่ร้อนเกินไปเพราะยีสต์จะตายได้ หรือถ้าเย็นเกินไปยีสต์ก็ไม่เจริญเติบโต ควรเป็นอุณหภูมิของห้อง (ไม่ใช่อุณหภูมิของน้ำที่มาจากท่อน้ำกรองเพราะเย็นเกินไป) อุณหภูมิน้ำควรประมาณที่ 41-46 องศา C (ผสมน้ำร้อนกับน้ำเย็นแล้วใช้นิ้วจุ่มลงเข็คดูถ้าเราไม่รู้สึกว่าร้อนเกินไปแสดงว่าใช้ได้)
  4. หลักการของการทำให้  Dough  ขึ้นฟูคือ ให้ความชื้นกับเชื้อยีสต์, ยีสต์เจริญเติบโตและคายก๊าซ  คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (CO2)  ออกมาซึ่งทำให้  Dough  ขี้นฟู
  5. น้ำตาลคืออาหารให้ยีสต์และช่วยให้รสชาติกับขนมปังด้วย
  6. การนวดคือการทำให้โปรตีนในแป้งก่อตัวขึ้นและกลายเป็นพังผืด (เขียนผิดต้องขออภัยนะคะ) เพื่อดักกักก๊าซ  CO2  ที่ยีสต์คลายตัวออกมาและเก็บไว้ค่ะ


ส่วนผสม
  1. แป้งขนมปัง                    436    กรัม
  2. น้ำตาล                            3         ชต.
  3. เกลือ                                1 1/4   ชช.
  4. น้ำมันพืช                         3         ชต.
  5. น้ำอุ่นอุณหภูมห้อง       275     มิล.ลิตร
  6. ยีสต์                                 1 1/4   ชช. (ใช้แบบ  Active  นะคะ เพราะมัน  Active  เร็วกว่าแบบธรรมดา เข้าใจว่าในเมืองไทยคงมีแต่แบบ  Active  ขายคะเพราะเคยลองหาดูใน  Tops และ  Tesco  ไม่เคยพบแบบธรรมดาเลย  สังเกตได้ง่ายว่าเป็นแบบ  Active  ก็คือมันเป็นเม็ดละเอียดมาก  ละเอียดเกือบเท่าเกลือป่นค่ะ)
วิธีทำ
  1. ใส่ส่วนผสมของข้อ 1 ถึง 3 ในอ่างผสมหรือโถผสมที่ใช้สำหรับนวดแป้งถ้าใช้เครื่องนวดแป้ง
  2. ใช้ช้อนกลางคนให้ผสมกันโดยเฉพาะเกลือ คนให้กระจายเลยคะ เป็นการเจือจางเกลือเข้าในแป้งเพื่อไม่ให้ฆ่ายีสต์ของเรา
  3. ใส่ส่วนผสมยีสต์ตามลงไปแล้วคนให้กระจายเช่นกัน
  4. จากนั้นใช้ช้องกลาง ปาดแป้งตรงกลางให้เป็นหลุม แล้วเทส่วนผสมข้อ 4 และ 5 ลงไป จากนั้นนำก้าน  Hook  ทีใช้ผสมแป้ง  Dough  ติดกับตัวเครื่อง เปิดเครื่องความเร็วต่ำ เพื่อผสมแป้ง  Dough ให้เข้ากันประมาณ 2 นาที 
  5. เริ่มการนวด โดยการเร่งความเร็วเป็นปานกลาง  แล้วนวดประมาณ 15 - 20 นาทีจนแป้ง  Dough  มีลักษณะเนียน เมื่อเอานิ้วไปแตะ แล้วไม่ติดนิ้ว
  6. ทาผิวบนแป้ง  Dough  ด้วยน้ำมันพืชเล็กน้อย  ใช้ถุงพลาสติกที่ใส่อาหารตัดด้านข้างและด้านล่างเพื่อขยายถุง  แล้วใช้ปิดทับด้านบนของ  Dough
  7. ใช้ผ้าสะดาดชุบน้ำให้หมาด ๆ ปิดบนโถ เพื่อกันไม่ให้  Dough  แห้ง
  8. วางทิ้งไว้ในที่อุ่น ๆ อากาศในเมืองไทยดีมากอุ่นพอดีเลย ยีสต์ชอบมาก  ถ้าในเมืองนอกต้องทิ้งให้ขึ้นฟูนานหน่อย  ถ้าหากวันที่ทำอากาศเย็น  Dough  ขึ้นช้าก็ไม่เป็นไรก็ทิ้งไว้จน  Dough  ขึ้นฟูจนได้ขนาดใหญ่กว่าของเดิม ประมาณ 1 1/2 เท่า หรือประมาณ 1-2 ชม. หรือนานกว่าถ้าอากาศเย็น
  9. ทำการ  Shape Dough  (การจัดรูป) โดยทำความสะอาดบริเวณโต๊ะที่เราจะ  Shape ตัวDough  ด้วยผ้าสะอาดชุบน้ำแล้วนำ  Dough  ที่ขึ้นแล้วเทลงโดยการคว่ำโถลงบนโต๊ะ  ใช้มือแตะให้ตัว  Dough  แบนราบเหมือน  Pizza  แล้วม้วนจากด้านตัวเราออกไปข้างนอกแล้วทำการ  Seal  (ปิด)ของรอยต่อโดยการจับจีบของรอยต่อ จากนั้นพับด้านข้าง 2 ข้างตลบไว้ด้านล่าง เป็นอันเสร็จนำ  Dough  ที่  Shape  แล้วใส่ในถาดอบขนมปัง  คลุมด้วยพลาสติกและผ้าหมาดอีกครั้ง  แล้วพักไว้ให้ขึ้นฟูอีกประมาณ 1 ชม. หรือจน  Dough  ขึ้นฟูเป็น 1 1/2 ถึง 2 เท่า
  10. เมื่อ  Dough  ขึ้นฟูแล้วนำเข้าเตาอบ โดยไม่ต้องอุ่นเตานะคะ  อุณหภูมิที่ 200 องศา  C. อบประมาณ 35 ถึง 40นาที จนด้านบนเหลือเป็นสีน้ำตาล
 
  • วิธีเช็คว่าขนมปังสุกหรือไม่ โดยการนำออกจากถาดอบ แล้วใช้นิ้วเคาะด้านล่างของขนมปัง ถ้ามีเสียงก้อง ๆ ด้านในแสดงว่าสุกแล้ว
  • ควรทิ้งไว้ให้เย็นจึงค่อยรับประทานนะคะ เพราะถ้าตัดขนมปังที่่ยังร้อนอยู่  อากาศภายนอกจะเข้าไปทำให้ด้านในขนมปังเสียโครงสร้างของเนื้อขนมปัง
  • ขนมปังที่อบเสร็จในวันแรกจะมีเปลือกแข็งกรอบด้านนอก แต่มันจะนิ่มลงในวันรุ่งขึ้น
การเก็บรักษาขนมปัง 
  1. ควรเก็บในกล่องที่ไม่มีอากาศเข้าเพื่อให้ขนมปังสดและนุ่ม  สามารถเก็บในกล่องนอกตู้เย็นได้ ประมาณ 2-3 วัน หลังจากนั้นควรเก็บในถุงพลาสติกปิดปากถุงและเก็บในตู้เย็นเพื่อกันราขึ้น เนื่องจากขนมปัง  Home Made ของเราไม่ได้ใส่สารกันบูด
  2. ขนมปัง  Home Made ของเราอบออกมาเป็นแบบ  Loaf  (คนไทยเราเรียกขนมปังปอนด์) ควรหั่นขนมปัง..เพียงพอที่เราจะทานไม่ควรหั่นเตรียมไว้มากเกินไปเพราะจะทำให้ขนมปังแห้งไม่อร่อย 
  3. ควรใช้มีดหั่นแบบ  มีฟันเป็นเลื่อยเพื่อให้ขนมปังคงรูปของ Loaf
รายละเอียดอาจจะดูแล้วเยอะ แต่ไม่ยากแน่นอน  หากท่านใดไม่มีเครื่องนวด  Dough จะใช้มือนวดก็ได้ 5 นาทีแรกอาจจะดูเลอะเทอะแต่ถ้านวดไปเรื่อย ๆ แป้ง  Dough  จะเนียนและความเลอะเทอะจะหายไปค่ะ ขอให้ทานขนมปังกันให้อร่อยนะคะ คราวหน้าจะมาพูดถึงหมูอบเพื่อให้ทำเป็น  Home Made Sandwich  ทานกันนะคะ


3/28/2554

Chocolate มัฟฟิน กับ บลูเบอรรี่








หากคุณไม่สามารถ เลือกได้ว่าจะใส่ Chocolate Chip หรือผลไม้ลงใน  มัฟฟิน ของคุณ แล้วละก็ สูตรนี้ โดนใจคุณ ได้ เพราะ มัฟฟิน สูตรนี้ เต็มไปด้วยทั้ง Chocolate Chip และ บลูเบอรี่

ส่วนผสม
1.       แป้งสาลีเอนกประสงค์  150 กรัม ผสมกับน้ำตาลทรายละเอียด  50 กรัม,  ผงฟู  ½  ช้อนชา และ เกลือ 1 หยิบมือ
2.       ไข่ 1 ฟอง
3.       เนยละลาย 50 กรัม และทิ้งไว้ให้เย็น
4.       นม 100 ml
5.       บลูเบอร์รี่  75 กรัม
6.      Chocolate Chip ขาว  75 กรัม,  สับเป็น ชิ้นเล็ก ๆ
    วิธีทำ
1.       อุ่นเตาอบที่ 200 C และรองถ้วยกระดาษ  มัฟฟิน  ลงในถาด มัฟฟิน  6 หลุม
2.       ผสม, ไข่, เนยละลาย และ นม ลงในส่วนผสมแบบแห้ง อย่างรวดเร็ว ตามด้วย บลูเบอร์รี่ และ Chocolate Chip ขาว ระวัง อย่าผสม เกินความจำเป็น เพราะจะทำให้ กลูเต็นในแป้งก่อตัว และจะทำให้ มัฟฟิน แข็งกระด้าง ไม่ฟูนุ่ม จากนั้น   ตักส่วนผสมลงในถาด มัฟฟิน ที่เตรียมไว้  และ อบเป็นเวลา 25 นาทีจน มัฟฟิน ขึ้นฟูและ มีสีเหลืองทอง
3.       วิธีเช็กว่า มัฟฟิน สุกได้ที่ โดยการเอาไม้จิ้มฟัน หรือ เหล็กสำหรับเช็กเค้ก เสียบลงไปในถ้วย มัฟฟิน แล้วดึงออกมา ถ้า เห็นว่าไม้จิ้มฟันไม่มีส่วนผสมเปียกติดออกมา แสดงว่า มัฟฟิน สุกแล้ว
 สิ่งที่น่ารู้
บลูเบอร์รี่ สามารถใชแบบแช่แข็งได้ มีจำหน่ายที่ แม๊กโคร และถ้าใช้ไม่หมด ก็สามารถเก็บไว้ในช่องแช่แช็งไว้ใช้ในกครั้งต่อ ๆ ไปได้
สารอาหารที่ได้จากสูตรนี้
ต่อ การบริโภค  1 ส่วน(ถ้วย)  273 แคลลอรี่ , โปรตีน  37 กรัม ,คาร์โบไฮเดรต  12 กรัม, ไขมันอิ่มตัว  7.1กรัม

ซาวร์ครีม Chocolate เค้ก (เค้ก อันนี้ ไม่หวานมาก)






ส่วนผสมสำหรับ เค้ก:
1.     ผงโกโก้  2 ช้อนโต๊ะ  : 
2.     แป้ง เค้ก 4 ออนซ์ (110 กรัม) ร่อนแล้ว
3.     ผงฟู 1 ช้อนชา
4.     น้ำตาลทรายละเอียด 4 ออนซ์ (110 กรัม)
5.     ไข่ไก่ ขนาดใหญ่ 2 ฟอง
6.     เนย อ่อนตัว 4 ออนซ์ (110 กรัม)
7.     นม 1 ช้อนโต๊ะ
สำหรับ ครีม แต่งหน้า และใช้ประกบตัว เค้ก
1.     Chocolate  ขม (50-55% โกโก้) 5 ออนซ์ (150 กรัม)
2.     ซาวร์ครีม 5 ออนซ์ (150 มล. )
3.     ถั่ว วอลนัท สัก เล็กน้อย คั่วแล้ว และสับ พอประมาณ ไว้โรยหน้า
ความร้อนเตาอบ ที่  325 º F (170 ° C)
วิธีทำ
สำหรับตัว เค้ก ให้
1.   ผสม แป้ง, ผงฟู  และผงโกโก้ แล้ว ร่อน รวมกัน ลงในชามพักไว้
2.   หลังจากนั้นใส่ส่วนผสมทุกอย่างที่เหลือลงไปรวมกัน  และตีเข้าด้วยกันจนส่วนผสมมีเนื้อเนียน  ถ้าใช้เครี่องตีมือจับก็ประมาณ 1 นาที  ระวังอย่าตีมากเกินความจำเป็นเพราะจะทำให้กลูเต็นใน แป้งเริ่มก่อต้วและทำให้ เค้ก ด้านไม่ฟู
3.   จากนั้นเทส่วนผสมลงในถาดอบ แซนวิช ขนาด 7 นิ้วที่รองด้วยกระดาษไขและทาด้วยเนย  หรือ ไขมันพืชไว้แล้ว 2 ถาดโดยแบ่งให้เท่า ๆ กันและปาดด้านบนส่วนผสมให้เรียบ  นำเข้าเตาอบที่ได้ อุ่นเตาไว้แล้ว  และอบประมาณ  25-30 นาทีทิ้งไว้ให้เย็นในถาดอบประมาณ 5 นาทีก่อนนำ เค็ก ออกจากถาดไปไว้ในตะแกรง  แล้วค่อย ๆ ลอกกระดาษไขที่รองก้น เค้ก ออกและทิ้งให้เย็น
สำหรับตัว Chocolate  ครีม
1.   นำสำหรับตัว Chocolate  ครีม ที่หั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงในชามซึ่งตั้งบนหม้อที่มีน้ำเดือด  ระวังอย่าให้ฐานของชามกระทบกับน้ำเดือด   แล้วผสม ซาวร์ครีม ลงไปรวมกับ Chocolate  หรี่ไฟลงให้เป็นไฟอ่อนเพื่อให้ Chocolate  ค่อย ๆ ละลายและด้เท็กซ์เจอร์ที่มีความเนียน  คนให้เช้ากันเป็นระยะจนส่วนผสมละลายเข้ากันดี  และมีความเนียน
2.   เมื่อ Chocolate  และ ครีม ละลายเข้ากันดีแล้วยกชามออกจากเตา  ทิ้งไว้ให้เย็นลงสักเล็กน้อย  แล้วใช้ ครีม ประมาณครึ่งหนึ่งปาดบน เค้ก ชิ้นที่หนึ่งแล้วนำ เค้ก ชิ้นที่ 2 แซนวิช ทับข้างบนป้าย ครีม ส่วนที่เหลือบน เค้ก ที่ 2 เป็นอันเสร็จตกแต่งด้วยถั่ว วอลนัท และควรเก็บในกล่องที่มีฝาปิดสนิทเพื่อกันลมเข้าเพราะจะทำให้ เค้ก แห้ง  เค้ก นี้ เหมาะสำหรับทานตอนที่มันยังสดในวันที่ทำเสร็จ

เค้ก Chocolate อย่างง่าย






เค้ก  Chocolate 
ส่วนผสมสำหรับ เค้ก
1.     แป้งสาลี 225g/8oz
2.     น้ำตาล 350g/12 ½ ออนซ์
3.     ผงโกโก้ 85g/3oz
4.     ผงฟู 1 ½ ช้อนชา
5.     โซดาไบคาร์บอเนต 1 ½ ช้อนชา
6.     ไช่ 2 ฟอง
7.     นม 250 มล. /9fl ออนซ์
8.     น้ำมันพืช 125 มล. / 4 ½ ออนซ์
9.     วานิลลาสกัด 2 ช้อนชา
10.   น้ำเดือด 250 มล. /9fl ออนซ์
สำหรับ Chocolate ไอซิ่ง
1.     Chocolate ก้อน 200g/7ออนซ์
2.     ครีมสดชนิดข้น (วิ๊ปปิ้งครีม) 200 กรัม/7fl ออนซ์
1.     อุ่นเตาอบที่ความร้อน 180C/350F ทาน้ำมันที่ถาดอบ จำนวน 2 ถาด ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 20ซม./8 นิ้ว
2.     สำหรับตัว เค้ก, นำส่วนผสมทั้งหมดยกเว้น น้ำเดือดลงในชามผสมขนาดใหญ่ ใช้ช้อนไม้หรือหรือเครื่องตีไฟฟ้า ตีผสมรวมกันจนเนียนดี
3.     เติมน้ำเดือดลงในส่วนผสม ค่อย ๆ เติม ทีละน้อย พร้อมกับค่อย ๆ ตีผสม จนหมด (ตอนนี้ส่วนผสม จะมีลักษณะ เป็นของเหลวมาก.)
4.     แบ่งส่วนผสม เค้ก ลงในถาดอบ 2 ถาดที่เตรียมไว้ และอบใน เตาอบ 25-35 นาทีหรือจนด้านบน เริ่มสุก และสัมผัสแตะได้ เมื่อนำ ไม้จิ้มฟันเสียบเข้าไปตรงกลางของ เค้ก แล้วออกมาสะอาด ถือว่า เค้ก สุกได้ที่
5.     นำขนม เค้ก ออกจากเตาอบ และทิ้งไว้ให้เย็นสนิท ในถาดอบ ก่อนที่จะเคลือบด้วย Chocolate  ไอซิ่ง
6.     สำหรับ ช็อคโกแลต ไอซิ่ง,  นำ Chocolate และครีมสด ลงในกระทะหรือ หม้อ ตั้งบนเตาที่ความร้อนต่ำ จน Chocolate ละลาย นำออกจากเตา และกวนส่วนผสมนี้จนเนียน และ เงา และช้น ขื้นจากนั้น พักไว้ให้เย็นประมาณ 1-2 ชั่วโมงหรือจน ส่วนผสม ข้น พอที่จะนำไปปาดบนตัว เค้ก ได้
7.     ในการประกอบตัว เค้ก ให้ ใช้มีดกรีดโดยรอบของตัว เค้ก ออกจากถาดอบเพื่อคลายตัว เค้ก ให้หลวม ๆ นำขนมเค้กออกจาก ถาดอย่างระมัดระวังโดยการคว่ำถาดอบลงในจานหรือตะแกรง
8.     ป้าย Chocolate ไอซิ่ง เล็กน้อย บนด้านบนของ เค้ก ชิ้นแรก จากนั้นนำ เค้ก ชิ้นที่สองวางทับข้างบน
9.     วาง เค้ก ที่ซ้อนกันแล้วบนจานเสริฟ จากนันนำ Chocolate ไอซิ่ง ปาดให้ทั่วด้านบนของ เค้ก ชิ้นที่ 2 และด้านข้างเป็นอันเสร็จ พร้อมตักทานได้